
‘วิษณุ’ ชื่มชม ‘คุณหญิงกัลยา’ ผลักดันโค้ดดิ้งเป็นรากฐานการศึกษาไทย สร้างสมรรถนะสู่สากล
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่อาคารหอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงข่าวก้าวสู่ปีที่ 4 ครูกัลยา
“วางรากฐานการศึกษาไทย สมรรถนะไกลสู่สากล” ว่ารู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่ได้เห็นครู อาจารย์ และนักเรียนของเราได้ร่วมมือกันนำเอาผลผลิตในสถาบันออกมาทำให้เป็นผลิตภัณฑ์
ตนคิดว่า ก้าวสู่ปีที่ 4 ของคุณหญิงกัลยา ยังทำได้ขนาดนี้ ถ้าก้าวสู่ปีที่ 8 จะขนาดไหน ตนได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กำกับดูแล ศธ. ตนมีโอกาสสังเกต
เห็นและเรียนรู้ การทำงานของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. เห็นความตั้งใจจริงในการทำงานตามได้รับมอบหมายได้อย่างดี 3 ปีนี้ คุณหญิงกัลยาได้ทำหลายอย่าง
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งการปฏิรูปการศึกษาไม่ได้ทำแต่เรื่อง ครู นักเรียนและหลักสูตร แต่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เข้าและเหมาะสมกัน
ดังนั้น ผลักดันการเรียนการสอนรูปแบบโค้ดดิ้ง การเรียนอาชีวะเกษตร การจัดการศึกษาพิเศษ ล้วนแต่เป็นการทำสภาพแวดล้อมของการศึกษาให้เหมาะสม ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนไปยังเป้าหมาย
ที่เราต้องการที่สุดคือ การปฏิรูปการศึกษา
“พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญและสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา
โดยพูดเสมอว่า นโยบายโค้ดดิ้งมีความสำคัญต่อเยาวชนเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องเริ่มเรียนตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์เป็น สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ทั้งการเรียนและการทำงานในอนาคต เพราะปัจจุบันโค้ดดิ้งเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน และถ้าเราไม่เพาะ ไม่วางรากฐานโค้ดดิ้งไว้ในการศึกษาไทย
สมรรถนะของเราจะไม่มีวันก้าวสู่อนาคตได้” นายวิษณุกล่าว
ด้านคุณหญิงกัลยากล่าวว่า ก้าวสู่ปีที่ 4 ของการทำงาน ตนมีเป้าหมายในการทำงาน คือจะวางรากฐานการศึกษาไทย ให้มีมาตรฐานสมรรถนะ ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และก้าวสู่ปีที่ 4 นี้
จะยังเดินหน้าขับเคลื่อนใน 5 นโยบายสำคัญให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือ 1.โค้ดดิ้ง ที่ถือเป็นวาระแห่งชาติ ในการวางรากฐานการปฏิรูปโดยตรง
ถึงเยาวชนและการพัฒนามนุษย์ 2.การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในกระบวนการการเรียนการสอน
ทั้งนี้ นอกเหนือจากให้เด็กเก่งทางด้านวิชาการแล้วยังต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Art of Life และ Art of Living คือการที่ต้องมีทั้งศิลปะในการใช้ชีวิตและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
“3.การอ่านเขียนเรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสี่อร่วมสมัย โดยปรับเปลี่ยนวิธีการสอนและกระบวนการเรียนการสอนผ่านนวัตกรรมและสื่อการสอนที่ทันสมัย รวมทั้งจัดทำคลัง
ข้อมูลดิจิทัลเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับครู 4.อาชีวะเกษตรและประมง โดยยกระดับอาชีวศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งระบบ พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเกษตร
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรให้กับเยาวชนและชุมชน รวมถึงได้กำหนดแนวทางในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
เพื่อปลูกฝังให้เด็กนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาเห็นคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญ โดยเฉพาะโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำ
และความยากจนอย่างยั่งยืน และ 5.นโยบายการศึกษาพิเศษ รวมทั้งเด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาสสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างเท่าเทียม” คุณหญิงกัลยากล่าว