คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับภาชนะบรรจุอาหารประเภทโฟมที่นอกจากสะดวกพกพาง่ายแล้ว
ยังไม่ต้องล้างทำความสะอาดเรียกว่ากินแล้วทิ้งได้เลย
แต่ภาชนะโฟมที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายนี้กลับก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากย่อยสลายได้ยาก
ที่สำคัญยังซ่อนไปด้วยอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพกระบวนการผลิตก่อนจะมาเป็นภาชนะโฟมที่เราใช้กันนั้น
ต้องผ่านขั้นตอนการผลิตด้วยพลาสติกประเภทโพลีสไตรีน จากนั้นนำมาเติมสารเร่งเพื่อช่วยให้เกิดการพองตัว
และเกิดการแทรกตัวของก๊าซในเนื้อพลาสติก ทำให้ได้พลาสติกที่มีน้ำหนักเบา

สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นภาชนะบรรจุอาหารในรูปแบบต่างๆ ได้ตามต้องการ แต่เมื่อภาชนะโฟม
สัมผัสอาหารร้อนจัดเป็นเวลานานอาจทำให้เสียรูปทรงและหลอมละลายจน“สารสไตรีน”ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
ออกมาปนเปื้อนกับอาหารได้โดยปริมาณการละลายออกมาของสไตรีน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างดังนี้
1. ไขมันในอาหาร : อาหารที่มีไขมันมาก จะทำให้ดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
2. ระยะเวลา : อาหารที่บรรจุอยู่ในกล่องโฟมนานๆทำให้ได้รับสารสไตรีนในปริมาณมาก
3. อุณหภูมิ : อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลงจะทำให้สารสไตรีนเข้าสู่อาหารในปริมาณมากเมื่อสารสไตรีนเข้าสู่ร่างกาย
จะมีผลทำลายฮอร์โมนในร่างกาย มีผลต่อระบบประสาทเม็ดเลือดแดง ตับและไต เมื่อถูกผิวหนังหรือเข้าตา
จะทำให้ระคายเคือง การสูดเข้าไปจะมีอาการไอ และหายใจลำบาก เพราะไปทำให้เยื่อเมือกเกิดความระคายเคือง
ปวดศีรษะ ง่วงซึม ที่สำคัญคือก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมะเร็งเต้านมและมะเร็งตับด้วย
สารพัดอันตรายจากการใช้ภาชนะโฟมอาจช่วยให้ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และผู้บริโภคได้ย้อนคิดก่อนใช้ โฟมบรรจุอาหาร
เพราะผลกระทบต่อสุขภาพที่ตามมาคงจะอันตรายมากกว่าจะได้รับประโยชน์ทางที่ดีจึงควรเปลี่ยนมาใช้ภาชนะบรรจุภัณฑ์
ที่ผลิตจากชานอ้อย มันสำปะหลังหรือข้าวโพดที่ย่อยสลายง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนจะดีกว่า