(14 พฤษภาคม 2564) นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการ
ประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม
อาคารราชวัลลภ โดยเป็นการประชุมออนไลน์ (Video Conference) ผ่านระบบ Zoom Meeting
ร่วมกับผู้ตรวจราชการ ศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID –19) ระลอกใหม่ทั่วประเทศ
มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น รวมทั้งการติดเชื้อของบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนกลาง) มีผู้ติดเชื้อแล้ว จำนวน 30 คน อีกทั้งขณะนี้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับ
กระทรวงศึกษาธิการอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดภาคเรียน กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความปลอดภัยของนักเรียน
นักศึกษา ครู บุคลากร และผู้ปกครองเป็นสำคัญ จึงกำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดฯ สำหรับสถานศึกษา ในสังกัดและในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ
ให้สถานศึกษาถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ของสถานศึกษาในสังกัดและในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ
ลงวันที่ 23 เมษายน 2564 อย่างเคร่งครัด
มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดฯ สำหรับบุคลากร ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ข้าราชการ
และบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการถือปฏิบัติตาม ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)
ของบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 23 เมษายน 2564 อย่างเคร่งครัด
มาตรการให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) ในเดือนพฤษภาคม 2564
ให้ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง ขยายระยะเวลาการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 28 เมษายน 2564
กิจกรรม “เรียนรู้เพื่อการสอน สอนเพื่อการเรียนรู้”
กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมความพร้อมรับการเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2564 ในสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ไว้ 2 ช่วง คือ ระหว่างวันที่ 17 – 31 พฤษภาคม 2564
เป็นระยะเวลา 11 วันทำการ และช่วงเปิดภาคเรียน โดยในช่วงเตรียมเปิดภาคเรียน ขอให้สถานศึกษา
ครูและบุคลากรทางการศึกษา เตรียมความพร้อมในด้านอาคารสถานที่ การจัดการเรียนการสอนทั้งออนไลน์ – ออฟไลน์
เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียน อีกทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องสื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่า
บุตรหลานของทุกคนจะมีกิจกรรมอะไรที่เป็นประโยชน์ทำในระหว่างรอการเลื่อนเปิดเรียน ทั้งนี้ อาจเป็นกิจกรรมเสริม
ให้แก่ผู้เรียนด้วยระบบออนไลน์ หรืออาจเป็นกิจกรรมไปเยี่ยมที่พักอาศัยสำหรับนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบออนไลน์
กิจกรรมออนไลน์จะมีคลังสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ แขวนไว้บนเว็บไซต์ของ ศธ. (MOE LEARNING PLATFORMS)
โดยส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนสื่อการเรียน
จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งได้เชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
มาร่วมบรรยายให้ความรู้ภายใต้กิจกรรมที่มีชื่อว่า “เรียนรู้เพื่อการสอน สอนเพื่อการเรียนรู้”
กำหนดจัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 12 – 25 พฤษภาคม 2564 แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
ช่วงที่ 1 เรียนรู้เพื่อการสอน ระหว่างวันที่ 12 – 17 พฤษภาคม 2564
ช่วงที่ 2 สอนเพื่อการเรียนรู้ ระหว่างวันที่ 18 – 25 พฤษภาคม 2564
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสำหรับเสริมสมรรถนะครูซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM
เรื่อง การพัฒนางานด้านวิชาการในโรงเรียนเอกชน ภายใต้โครงการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการจัดการเรียนรู้
การวัดและประเมินผล ระหว่างวันที่ 27 – 28 พฤษภาคม 2564
รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 เมษายน 2564
ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
การเบิกจ่ายในภาพรวม จำแนกเป็น 5 งบรายจ่าย สามารถใช้จ่ายได้ร้อยละ 50.95
เป้าหมายกำหนดร้อยละ 61.66 เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 10.71
ภาพรวมรายจ่ายลงทุน (ประกอบด้วย งบลงทุน และงบเงินอุดหนุน) เป้าหมายสะสม ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564
ร้อยละ 51.66 ผลการใช้จ่ายร้อยละ 31.62 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 20.04
ข้อสังเกตจากการตรวจสอบและแนวทางการแก้ไขการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลัง
และการดูแลรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด และสำนักงานศึกษาธิการภาค
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2564
กลุ่มตรวจสอบภายใน ได้ดำเนินการสรุปข้อสังเกตจากการตรวจสอบการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง
และการดูแลรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดและสำนักงานศึกษาธิการภาค
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2564 เพื่อให้ผู้บริหารผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปพัฒนา
และปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ
โดยแบ่งข้อสังเกตออกเป็น 8 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ด้านการเบิกจ่าย พบว่า ไม่มีการแนบใบเสร็จรับเงิน/ใบสำคัญรับเงินประกอบการเบิกจ่าย
การเบิกค่าที่พักไม่เป็นไปตามระเบียบกำหนด มีการเบิกจ่ายค่าจัดงานโดยไม่ขออนุมัติเบิกจ่าย
การเบิกค่าเช่าบ้านไม่เป็นไปตามระเบียบ การเบิกค่าโทรศัพท์ทางไกลไม่แนบหลักฐานคุมการใช้โทรศัพท์ทางไกล
2. ด้านการบริหารการเงินการคลัง พบว่า การทำคำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน
และการกำกับดูแลทางการเงิน การคลังของส่วนราชการยังไม่ครบถ้วนและไม่เป็นปัจจุบัน
3. ด้านการบัญชี พบว่า รายงานการเงินของหน่วยงานไม่ถูกต้องและไม่เป็นปัจจุบันไม่มีการทำรายงาน
เงินคงเหลือประจำวัน ไม่จัดทำงบเทียบยอดเงินฝากธนาคาร ส่งรายงานประจำเดือนไม่ครบถ้วน
4. ด้านลูกหนี้เงินยืม พบว่า การทำสัญญายืมเงินไม่ถูกต้อง การส่งใช้หนี้เงินยืมล่าช้า
5. ด้านเงินทดรองราชการด้านรถราชการ พบว่า การบันทึกรายการในทะเบียนคุมเงินทดรองราชการไม่ถูกต้อง
ไม่มีการจัดทำรายงานฐานะเงินทดรองราชการ ไม่ได้นำรายการดอกเบี้ยเงินทดรองราชการมาบันทึกรายการรับ
และนำส่งรายได้แผ่นดิน
6. ด้านรถราชการด้านรถราชการ พบว่า หน่วยงานไม่ได้จัดทำบัญชีรถราชการ/สมุดแสดงรายการซ่อมบำรุงรถ
การทำใบขออนุญาตใช้รถส่วนกลางไม่ครบถ้วน เช่น ไม่ระบุทะเบียนรถที่ขอ หน่วยงานมีการจัดทำทะเบียนควบคุม
การจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนด และบางแห่งไม่ได้จัดทำทะเบียนควบคุม หรือจัดทําแต่ไม่เป็นปัจจุบัน
7. ด้านวัสดุ พบว่า หน่วยงานมีการจัดทำบัญชีวัสดุโดยไม่แยกประเภทของวัสดุตามที่กำหนดมีการบันทึกรายการ
รับ-จ่ายบัญชีวัสดุไม่ถูกต้องครบถ้วน และเมื่อสิ้นปีงบประมาณ ไม่ได้ดำเนินการปรับปรุงบัญชี วัสดุคงคลังในระบบ GFMIS
และไม่ได้จัดทำรายงานวัสดุคงเหลือ รวมถึงไม่ได้จัดทำสารบัญ หรือดัชนีของบัญชีวัสดุและบัญชีวัสดุแต่ละแผ่นควบคุมวัสดุ
มากกว่า 1 รายการ
8. ด้านครุภัณฑ์ พบว่า การจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินไม่เป็นปัจจุบันและไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนด
และจัดทำรหัสครุภัณฑ์ที่ตัวครุภัณฑ์ ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นปัจจุบัน