รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจในการเพิ่มงบด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม(โรฮิงญา)ในประเทศพม่า
หลังจากสมาชิกของประชาชนกลุ่มนี้หลายแสนคนต้องหลบหนีการปราบปรามขับไล่ด้วยมาตรการรุนแรงให้ย้ายไปยังประเทศบังคลาเทศหรือจะต้องกลายมาเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ นับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2017 มา
แถลงการณ์โดย แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เงินทุนก้อนใหม่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มให้นี้มีมูลค่า 155 ล้านดอลลาร์ และมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวโรงฮิงจา และชุมชนต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้ในบังคลาเทศ รวมทั้งชาวโรฮิงญาที่พลัดถิ่นอยู่และผู้ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ ในพม่าด้วย
รมต.บลิงเคน ยังยืนยันด้วยว่า “ความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยตอบสนองความต้องการอันเร่งด่วนของผู้ลี้ภัยเกือบ 900,000 คนในบังคลาเทศ ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง ที่ต้องหลบหนีเหตุความรุนแรงอันน่ากลัวในรัฐยะไข่ของพม่า”
รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยด้วยว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตชาวโรงฮิงจาในเมียนมาเมื่อ 4 ปีที่ก่อน สหรัฐฯ ได้นำส่งความช่วยเหลือเป็นมูลค่าถึง 1,300 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว พร้อมประกาศว่า สหรัฐฯ จะเดินหน้าให้การช่วยเหลือทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ที่ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวโรงฮิงจาเป็นลำดับต้นๆ ด้วย
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติเพิ่งประกาศระดมทุนจำนวน 943 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยผู้อพยพชาวโรฮิงญา จำนวนกว่า 880,000 คน และชาวบังคลาเทศอีกประมาณ 472,000 ล้านคน
รายงานข่าวชี้ว่า ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่ have-a-look.net โอกาสที่ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจะได้กลับสู่บ้านของตนในเร็วๆ นี้ยังต่ำอยู่มาก ขณะที่สถานการณ์ในเมียนมายังคงอยู่ในภาวะวิกฤตการเมืองและทางสังคม หลังกองทัพก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
ทั้งนี้ รมต.บลิงเคน ของสหรัฐฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่กองทัพพม่าหลายรายที่มีส่วนร่วมในการก่อรัฐประหาร มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการข่มเหงรังแกชาวโรงฮิงญาด้วย
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก www.voathai.com