เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 9.30 น. นางสาวตรีนุช เทียนทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2564
โดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. (นางกนกวรรณ วิลาวัลย์)
นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายประวิต เอราวรรณ์
เลขาธิการ ก.ค.ศ.ผู้บริหารของ ศธ. และคณะกรรมการ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ในที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
และมีมติที่สำคัญ ดังนี้
• เห็นชอบ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่ ก.ค.ศ. ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ว 6/2563) ต่อมาส่วนราชการและหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ
ได้นำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ไปปฏิบัติแล้ว พบว่าเกิดปัญหาในทางปฏิบัติหลายประเด็น
จึงเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ดังนี้
– การพิจารณาย้าย ปรับปรุงเป็น ให้พิจารณาย้าย ในสถานศึกษาประเภทเดียวกัน ที่มีสถานศึกษาขนาดเดียวกัน
และขนาดใกล้เคียงกัน ทั้งในจังหวัดเดียวกันและต่างจังหวัดพร้อมกันก่อน เมื่อพิจารณาย้ายขนาดเดียวกันและ
ใกล้เคียงกันแล้วเสร็จ หากยังมีตำแหน่งว่างเหลืออยู่ ให้พิจารณาย้ายข้ามขนาดสถานศึกษาได้ โดยต้องพิจารณา
ย้ายข้ามขนาดตามลำดับ เช่น มีตำแหน่งว่างในสถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษเหลืออยู่ ให้พิจารณาย้ายคำร้องขอย้าย
ของผู้ประสงค์ขอย้ายที่ดำรงตำแหน่งในสถานศึกษาขนาดกลางก่อนขนาดเล็ก ตามลำดับ และหากยังมีตำแหน่งว่าง
เหลืออยู่อีก ให้ กศจ. พิจารณาย้ายผู้ประสงค์ขอย้ายที่ดำรงตำแหน่ง ในสถานศึกษา ที่ต่างประเภทสถานศึกษากันได้
– การประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย ปรับปรุงเป็น ให้ ผอ.สพท. ทุกเขตในจังหวัด และ ศธจ. ตรวจสอบข้อมูล
ประเมินศักยภาพ ผู้ประสงค์ขอย้ายและจัดลำดับ ก่อนเสนอ อกศจ. กลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องแล้วเสนอ
กศจ. พิจารณาย้ายต่อไป – การประกาศรายชื่อสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ปรับปรุงเป็น
กำหนดให้ประกาศรายชื่อสถานศึกษา โดยตัด “ก่อนกำหนดการส่งคำร้องขอย้ายประจำปี เป็นระยะเวลา
ไม่น้อยกว่า 15 วัน” ออก
– กำหนดการการพิจารณาย้ายครั้งแรก ปรับปรุงเป็น ให้ กศจ. พิจารณาย้ายครั้งแรกให้แล้วเสร็จ
ภายในวันที่ 30 กันยายน และให้มีผลไม่ก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของปีเดียวกัน ทั้งนี้ ได้ปรับระยะเวลาการยื่นคำร้องขอย้าย
เป็นวันที่ 1 – 15 กรกฎาคม เพื่อให้สอดคล้องกับการพิจารณาย้ายครั้งแรกให้แล้วเสร็จ และการนับคุณสมบัติ
ของผู้ประสงค์ขอย้าย ให้นับถึง 30กันยายน ของปีที่ยื่นคำร้องขอย้าย ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การประเมิน
วิทยฐานะฯ ใหม่ (PA) ทั้งนี้ จะได้แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการย้าย ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ที่ปรับปรุงเรียบร้อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติต่อไป
• อนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ที่กำหนดใหม่ สืบเนื่องจากที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการกำหนดและ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ณ วันที่ 28 มกราคม 2564 จึงยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2553 และ
เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
ประกาศ ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2554 และกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใหม่ จำนวน 62 เขต
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอให้ ก.ค.ศ. พิจารณาขออนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงท้องที่จังหวัด
ตามจำนวนและตำแหน่งตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนดไว้เดิม ไม่ได้เป็นการเพิ่มอัตรากำลังและไม่เพิ่มงบประมาณ
ซึ่งเป็นประโยชน์กับทางราชการ จึงพิจารณาอนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้
– กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ชั่วคราว) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ที่กำหนดใหม่ จำนวน 62 เขต รวม 1,081 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
จำนวน 62 อัตรา, ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 148 อัตรา
และตำแหน่งศึกษานิเทศก์จำนวน 871อัตรา ทั้งนี้ ให้ใช้กรอบอัตรากำลังนี้ เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่สำนักงาน ก.ค.ศ.
แจ้งมติ เมื่อครบกำหนดแล้วให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเสนอ ก.ค.ศ.
เพื่อขอทบทวนกรอบอัตรากำลังตามภาระงานต่อไป
– กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่กำหนดใหม่
โดยมีการเปลี่ยนแปลงท้องที่จังหวัด เพื่อให้มีผู้ปฏิบัติงานในระยะแรก จำนวน 38 เขต จำนวน 488 อัตรา
1) ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 62 อัตรา
2) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 148 อัตรา
3) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ จำนวน 871 อัตรา
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดทำรายละเอียดการกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา ตามกรอบอัตรากำลังฯ ทั้ง 1,081 อัตรา เสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณากำหนดตำแหน่งฯ ต่อไป
• เห็นชอบ การปรับปรุงแนวปฏิบัติการนับหน่วยกิต กำหนดกรณีผู้สอบแข่งขันหรือผู้สมัครคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง
เข้ารับราชการ เป็น ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงแนวปฏิบัติ
การนับหน่วยกิต จากเดิมที่กำหนดว่า “หากหลักฐานการศึกษามิได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้ หรือระบุไว้แตกต่างจาก
ประกาศรับสมัครให้นับจำนวนหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาตาม Transcript ทั้งหมด” ปรับปรุงเป็น
“กรณีหลักฐานการศึกษา ซึ่งผู้สมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย นำมาใช้สมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกมิได้ระบุสาขาวิชาเอกที่ศึกษาไว้
ให้ผู้ดำเนินการสอบแข่งขันหรือคัดเลือกพิจารณาและดำเนินการนับจำนวนหน่วยกิตรายวิชาที่ศึกษา ที่ตรงกับกลุ่มวิชา
หรือทาง หรือสาขาวิชาเอกที่ประกาศรับสมัครจากหลักฐานการศึกษา (Transcript)”
โดยสาระสำคัญของการนับหน่วยกิตให้คงเดิม ดังนี้
1) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี และหลักสูตร 5 ปี ต้องศึกษาเนื้อหาวิชานั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต
2) ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 2 ปี หลักสูตรต่อเนื่อง ต้องศึกษาเนื้อหาวิชานั้น ๆ ในระดับปริญญาตรี
ไม่น้อยกว่า 20 หน่วยกิต และในระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ได้ไม่เกิน 10 หน่วยกิต รวมแล้วไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต
• เห็นชอบ หลักการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือหน่วยงาน
หรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของส่วนราชการ
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สามารถนำผลการปฏิบัติงานดังกล่าว มาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ
ให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีจิตสาธารณะและมีความตั้งใจในการช่วยเหลือสังคม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ
และให้ความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและชุมชนในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ