ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้ว เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว ว่าหากใครก็ตามที่สามารถครอบครองหัวกะโหลกครบทั้ง 13 หัวแล้วจะสามารถเป็นผู้ครองโลกได้ด้วยอำนาจอันมหัศจรรย์
และเมื่อพิพิธภัณฑ์มนุษยชาติอังกฤษได้มาครอบครองหนึ่งหัวใน ปีพ.ศ. 2441 หรือเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมอง เข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว
ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า กะโหลกแก้วปริศนา ที่มีขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจาก ร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน
แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้ น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคน ได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
แต่ไม่ว่าการพบครั้งแรกจะเป็นอย่างไรก็ตาม กะโหลกแก้วที่เรียกขานกันต่อมาว่า กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ ก็เป็นหนึ่งในกะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดในโลก
ด้วยความเชื่อที่ว่า มันเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้น จากอารยธรรมขั้นสูงที่สูญสลายไปแล้ว และหากมองดวงตาแก้วปริซึมนี้ ให้ดีจะเห็นภาพของอนาคตปรากฏขึ้น
กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ทำจากแก้วบริสุทธิ์ ผ่านการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นมา ต้องใช้เวลากว่า 150 ปี จากรุ่นสู่รุ่น กว่าจะเกิดเป็นกะโหลกปริศนา
ที่มีการประมาณการอายุกันคร่าวๆ ว่าน่าจะเก่าแก่กว่า 3,600 ปี เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ช่วยรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเครื่องมือ กำหนดความตายของผู้ที่กระทำสิ่งไม่เหมาะสม ทำให้กะโหลกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะโหลกมรณะ
ปริศนาจากชาวมายัน หรือกุญแจที่จะไขปริศนา ทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ชิ้น ที่ถูกค้นพบ ทั้งหมดถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย ที่บัดนี้ยังคลุมเครือ
ท่ามกลางความสงสัย ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่ have-a-look.net เกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะถูกสร้างขึ้นมาเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตกตะลึง ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้ว ที่ค้นพบข้อมูลในนั้น จะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนจากอดีต สู่คนในยุคปัจจุบัน
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก www.wikipedia.com
