มีการพัฒนาถึงวิธีการทดสอบหลายวิธีเพื่อวินิจฉัยโรค วิธีการวินิจฉัยมาตรฐานคือการตรวจหากรดนิวคลีอิกของไวรัสโดยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสการถอดความย้อนกลับแบบเรียลไทม์การขยายสัญญาณสื่อกลางการถอดความหรือการขยายความร้อนด้วยคลื่นความร้อนแบบวนรอบการถอดความแบบย้อนกลับจากการกวาดโพรงจมูก
พื้นฐานในการป้องกัน โดยเริ่มจากการเว้นระยะห่างทางกายภาพหรือทางสังคม การกักตัว การระบายอากาศในที่ร่ม การปิดกั้นการไอ และการจามการล้างมือ และการไม่ไม่ใช่มือสัมผัสไปยังใบหน้า การใช้หน้ากากเมื่อออกไปข้างนอก
กว่าหนึ่งปีหลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ยอดผู้เสียชีวิตในบราซิลกำลังพุ่งแตะจุดสูงสุด และแม้จะมีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า โรคนี้มักไม่ค่อยคร่าชีวิตเด็กเล็ก ทว่าในบราซิลกลับมีทารกกว่า 1,300 คน ที่เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
หนึ่งในนั้นคือลูกชายวัย 1 ขวบของเจสซิกา ริคาร์เต ซึ่งหมอปฏิเสธที่จะตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 ให้ โดยอ้างว่าอาการของเขาไม่เข้าเกณฑ์ของผู้ป่วยจากไวรัสชนิดนี้ ส่งผลให้ 2 เดือนต่อมา หนูน้อยต้องเสียชีวิตลงจากอาการแทรกซ้อนของโรคโควิด-19
สองปีของความพยายามทุกทางเพื่อให้มีลูก ซึ่งรวมถึงการเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก เจสซิกา ซึ่งมีอาชีพครู ก็ล้มเลิกความหวัง แต่จู่ ๆ เธอก็ตั้งท้องลูคัส
“ชื่อของเขามาจากแสงสว่างโชติช่วง เขาคือแสงสว่างในชีวิตของพวกเรา เขาทำให้เรามีความสุขมากกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้” เจสซิกา เล่าให้ทีมข่าวบีบีซีฟัง
เธอเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติของลูคัสซึ่งเริ่มมีอาการไม่อยากอาหาร ทั้งที่ปกติเป็นเด็กกินเก่ง
ตอนแรกเจสซิกาคิดว่าลูกอาจกำลังฟันขึ้น แต่แม่ทูนหัวของลูคัส ซึ่งเป็นนางพยาบาลบอกว่าเขาอาจเจ็บคอ โดยหลังจากหนูน้อยเริ่มมีไข้สูง แล้วแสดงอาการอ่อนเพลีย ร่วมกับหายใจลำบากเล็กน้อย เจสซิกาจึงพาลูกไปรับการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาล
“หมอใช้เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด และระดับของลูคัสอยู่ที่ 86% ซึ่งตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันผิดปกติ” เจสซิกาบอก
แต่ลูกไม่มีไข้สูงมาก หมอจึงบอกว่า “คุณไม่ต้องกังวล ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจโควิด มันอาจเป็นแค่อาการเจ็บคอเล็กน้อยเท่านั้น”
หมอบอกเจสซิกาว่าพบโควิด-19 ในเด็กยากมาก พร้อมกับสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะแล้วให้เธอกับลูกกลับบ้าน แม้ยังไม่ค่อยเชื่อคำของหมอ แต่ตอนนั้นเจสซิกาก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะให้ลูคัสไปรับการตรวจจากสถานบริการเอกชน
เจสซิกาเล่าว่าอาการป่วยบางอย่างของลูคัสเริ่มทุเลาลงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะครบ 10 วัน แต่อาการอ่อนเพลียของลูกยังคงอยู่ เช่นเดียวกับความกังวลของเธอว่าลูกอาจป่วยเป็นโควิด
“ฉันส่งคลิปไปให้พ่อแม่ฉันและพ่อแม่สามีดู แต่ทุกคนบอกว่าฉันพูดเกินจริง และควรเลิกดูข่าวเพราะมันทำให้ฉันกลัวเกินกว่าเหตุ แต่ฉันรู้ดีว่าลูกชายของฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง และเขาหายใจผิดปกติ”
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเดือน พ.ค. 2020 ตอนที่ไวรัสโคโรนากำลังระบาด และมีคนเสียชีวิตจากโควิด-19 ไปแล้ว 2 คนในเมืองตัมโบริล ที่เจสซิกาอาศัยอยู่ในรัฐเซอารา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
อิสราเอล สามีของเจสซิกาเป็นห่วงว่าการไปโรงพยาบาลอีกครั้งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เธอและลูคัสจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
แต่หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ ลูคัสก็ยิ่งมีอาการง่วงซึมมากขึ้น จนวันที่ 3 มิ.ย. ลูคัสอาเจียนอย่างต่อเนื่องหลังจากทานอาหารเที่ยง และเจสซิการู้ดีว่าเธอต้องทำอะไรสักอย่าง
พวกเขากลับไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งหมอได้จับลูคัสตรวจโควิด
แม่ทูนหัวของลูคัสซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นเป็นผู้แจ้งผลการตรวจลูกชายของเธอว่าเป็นบวก
ลูคัสถูกย้ายไปรักษาที่หอผู้ป่วยเด็กอาการวิกฤตที่อีกโรงพยาบาล ซึ่งห่างออกไปราว 2 ชั่วโมง และเขาได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะหลายระบบ (multi-system inflammatory syndrome หรือ MIS)
มันคืออาการที่เกิดจากการตอบสนองต่อเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะที่สำคัญต่าง ๆ
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า นี่เป็นอาการที่พบได้ยาก โดยส่งผลต่อเด็กหลังจากได้รับเชื้อไปแล้วถึง 6 สัปดาห์ แต่ พญ.ฟาติมา มารินยู นักระบาดวิทยาชั้นแนวหน้าของบราซิลจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโล บอกว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดใหญ่ เธอได้เห็นผู้ป่วยเด็กที่มีอาการ MIS มากเป็นประวัติการณ์ แม้มันจะไม่ใช่ต้นเหตุหลักของเด็กที่เสียชีวิตทุกรายก็ตาม
อาการของลูคัสรุนแรงจนแพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนั้นเจสซิกาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่กับลูก
เวลาต่อมา หมอบอกเธอว่าลูคัสมีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่พวกเขาสามารถกู้ชีพขึ้นมาได้
พญ.มานูเอลลา มอนเต กุมารแพทย์ที่รักษาลูคัสในห้องไอซียูนานกว่า 1 เดือน เล่าให้บีบีซีฟังว่า เธอประหลาดใจที่อาการของลูคัสหนักมากทั้งที่เขาไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เช่นโรคประจำตัว อย่างเบาหวาน และโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในช่วงที่อยู่ในห้องไอซียู 33 วัน เจสซิกาได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูลูกเพียง 3 ครั้ง ในระหว่างนี้แพทย์รักษาลูคัสด้วยการให้ยาอิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) 2 โดส อาการของหนูน้อยเริ่มดีขึ้น และแพทย์ตัดสินใจเอาท่อออกซิเจนออก และเมื่อเขาฟื้นขึ้น หมอได้โทรวิดีโอคอลหาเจสซิกาและอิสราเอลเพื่อไม่ให้ลูคัสรู้สึกเหงา
“ตอนลูกได้ยินเสียงพวกเรา เขาก็เริ่มร้อง” เจสซิกาเล่า
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เจสซิกากับสามีได้เห็นลูกมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ในการโทรครั้งต่อมาหนูน้อย “ดูเหมือนเป็นอัมพาต” โรงพยาบาลนำลูคัสเข้าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ ซีที สแกน และพบว่าเขามีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง
แต่ถึงอย่างนั้น แพทย์ยังบอกเจสซิกากับสามีว่าลูคัสจะหายดีด้วยการดูแลที่ถูกต้อง และจะถูกย้ายออกจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไปในอีกไม่นาน
ตอนที่เจสซิกาไปเยี่ยมลูก หมอก็มีความหวังพอ ๆ กับเธอและสามี
“คืนนั้น ฉันปิดเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ฉันฝันว่าลูคัสมาหาแล้วจูบที่จมูกของฉัน ความฝันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงความรัก ความซาบซึ้งใจ และฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสุข แต่หลังจากนั้นฉันเห็นว่าโทรศัพท์มีสายจากหมอโทรมาเป็นสิบสาย”
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่ have-a-look.net หมอแจ้งเจสซิกาว่าอัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนของลูคัสตกลงกะทันหัน และเขาก็เสียชีวิตในช่วงเช้าตรู่วันนั้นเอง
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก www.bbc.com